เวียดนาม ประเทศผู้ผลิตกาแฟอันดับสองของโลก กำลังเผชิญกับภัยแล้งครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบเกือบทศวรรษ ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟในภูมิภาคที่สูงตอนกลาง
นายเหงียน หง็อก กวิ่ญ รองหัวหน้าตลาดซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์เวียดนาม (MXV) คาดการณ์ว่า ผลผลิตในฤดูกาลหน้าจะลดลง 10-16% เนื่องจากความร้อนจัดที่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เพาะปลูกกาแฟในที่สูงตอนกลางช่วงเดือนมี.ค.ถึงต้นเดือนพ.ค.
อย่างไรก็ตาม ฝนที่กลับมาตกในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาช่วยให้สถานการณ์ดูดีขึ้น เพิ่มความมั่นใจให้กับทั้งเกษตรกรและเจ้าหน้าที่ แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าสภาพอากาศที่ดีขึ้นจะช่วยเพิ่มผลผลิตและลดราคาเมล็ดกาแฟโรบัสต้าได้หรือไม่ โดยโรบัสต้าเป็นสายพันธุ์ที่พบมากที่สุดในกาแฟเอสเพรสโซและกาแฟสำเร็จรูป และเป็นพันธุ์ที่เวียดนามเป็นผู้ผลิตอันดับหนึ่งของโลก
ในอีกด้านหนึ่ง กระทรวงเกษตรของสหรัฐ (USDA) คาดการณ์ว่าผลผลิตกาแฟของเวียดนามในฤดูกาลหน้าจะใกล้เคียงกับฤดูนี้ ซึ่งเป็นการคาดการณ์ในเชิงบวกมากกว่าที่เวียดนามคาดไว้มาก
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ไม่ว่าผลกระทบต่อผลผลิตจะเป็นอย่างไร ราคากาแฟสำหรับผู้บริโภคทั่วโลกก็มีแนวโน้มจะสูงขึ้น โดยเทรดเดอร์และนักวิเคราะห์หลายรายกล่าวว่า ราคาขายส่งในเวียดนามและราคาฟิวเจอร์ของกาแฟโรบัสต้าที่ซื้อขายในกรุงลอนดอน ได้พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อช่วงต้นปีนี้ ส่วนใหญ่เป็นเพราะผลผลิตในเวียดนามที่น่าผิดหวังและความกังวลเรื่องผลผลิตในฤดูกาลหน้าของเวียดนามหลังเผชิญภัยแล้ง
ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดของสำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) ระบุว่า ราคาขายส่งที่พุ่งสูงขึ้นยังไม่ส่งผลกระทบต่อราคาผู้บริโภคมากนัก โดยอัตราเงินเฟ้อของกาแฟใน 27 ประเทศในอียูเพิ่มขึ้นเพียง 1.6% ในเดือนเม.ย. และ 2.5% ในอิตาลี ซึ่งเป็นประเทศที่นิยมดื่มกาแฟโรบัสต้า
แม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่าเมื่อปีก่อนมาก แต่ก็สูงกว่าระดับ 1% ของอียูในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าโรงคั่วกาแฟอาจเริ่มผลักภาระต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภคแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เทรดเดอร์รายหนึ่งในเวียดนามเตือนว่า ความกังวลเกี่ยวกับเวียดนามยังไม่จบลง เนื่องจากปริมาณฝนที่ตกไม่เพียงพอหลังภัยแล้งหรือฝนที่ตกหนักเกินไปก่อนฤดูเก็บเกี่ยวในเดือนต.ค.ที่จะถึงนี้ อาจทำให้ผลผลิตลดลงอีก
นอกจากนี้ ราคาขายส่งอาจยังคงสูงต่อไป เนื่องจากกาแฟโรบัสต้ากำลังเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้นทั่วโลก และเกษตรกรมีอำนาจต่อรองมากขึ้นในสถานการณ์ปัจจุบัน โดยมีหลายรายได้เปลี่ยนไปปลูกทุเรียนแทนกาแฟ เนื่องจากเป็นผลไม้เขตร้อนที่มีความต้องการสูงในประเทศจีน
“พวกเขามีกำลังทรัพย์พอจะกักตุนสินค้าไว้ได้ จึงไม่ได้รีบขาย” เล ทั้ญ ซน จากซีเม็กซ์โก (Simexco) ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทผู้ส่งออกกาแฟรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม กล่าว
ส่วนอีกข่าวที่ว่ากันเป็นเรื่องใหญ่ของตลาดกาแฟโลก ! เมื่อความนิยมบริโภคทุเรียนในประเทศจีนซึ่งมีประชากรมากถึง 1,400 ล้านคน ดึงดูดใจให้เกษตรกรจำนวนมากในประเทศเวียดนามเลิกปลูกกาแฟแล้วหันไปปลูกทุเรียนแทน ส่งผลให้ผลผลิตกาแฟเวียดนามหายไปจากตลาดในสัดส่วนไม่น้อย
เมื่อซัพพลายหายไปจากตลาด ผลที่ตามมาคือ ราคาเมล็ดกาแฟโรบัสต้าก็เพิ่มขึ้นตามกลไกตลาด ดังที่นิกเคอิเอเชีย (Nikkei Asia) รายงานเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2024 ว่า เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ราคากาแฟโรบัสต้าพุ่งแตะระดับสูงสุดใหม่ หรือทำนิวไฮ
กรมอุตุฯเตือน 48 จังหวัด รวม กทม. ฝนตกหนักถึงหนักมาก ฉบับที่ 10
เช็กชื่อ สว. 67 ผ่านเลือกระดับประเทศ ครบทั้ง 200 คน
กรมอุตุฯเตือน ร่องมรสุมพาดผ่าน ฝนยังตกหนัก ช่วง 26-27 มิ.ย.นี้
ราคาฟิวเจอร์สหรือราคาตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดกาแฟโรบัสต้าในตลาดลอนดอนพุ่งสู่ระดับสูงสุดใหม่ในช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยแตะระดับ 4,500 ดอลลาร์ต่อตัน แม้ว่า ณ ตอนนี้ตลาดจะเย็นลงแล้ว แต่ราคากาแฟก็ยังคงสูงกว่าช่วงปลายปีที่แล้วอยู่มาก
รายงานข่าวของนิกเคอิระบุว่า มี 3 ปัจจัยประกอบกันที่ทำให้ราคากาแฟโรบัสต้าพุ่งแรง คือสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยทำให้ผลผลิตออกน้อย การบริโภคที่เพิ่มขึ้นในเอเชีย และความนิยมบริโภคทุเรียนในจีน ซึ่งทำให้ชาวเวียดนามเลิกปลูกกาแฟเปลี่ยนไปปลูกทุเรียนแทน
สืบเนื่องจากทุเรียนได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศจีนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และเวียดนามก็ได้เริ่มเข้าไปเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดทุเรียนแดนมังกรในช่วงไม่กี่ปีมานี้ โดยเวียดนามได้รับอนุญาตให้ส่งทุเรียนเข้าจีนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2022 และได้ส่งทุเรียนเข้าจีนลอตแรกในวันที่ 19 กันยายน 2022
Advertisment
เมื่อปี 2023 เวียดนามส่งออกทุเรียนไปจีนเป็นมูลค่ามากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตามการรายงานของท้องถิ่นคาดว่าการส่งออกทุเรียนของเวียดนามไปจีนจะเติบโตต่อไปในปีนี้
เวียดนามเป็นผู้ผลิตเมล็ดกาแฟรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก และเป็นผู้ผลิตกาแฟโรบัสต้ารายใหญ่ที่สุดในโลก การที่เกษตรกรเวียดนามหันไปปลูกทุเรียนทำให้พื้นที่ปลูกกาแฟลดลง ส่งผลให้อุปทานกาแฟโลกลดลง ส่วนการจะหาพื้นที่สำหรับปลูกกาแฟทดแทนพื้นที่ที่หายไปนั้นก็ทำได้ยาก เนื่องจากกาแฟมีข้อจำกัดของมัน คือเจริญเติบโตดีที่สุดในเขตร้อน และการต่อต้านการตัดไม้ทำลายป่าทำให้ไม่สามารถหาพื้นที่เพิ่มเติมจากพื้นที่ที่มีการทำการเกษตรอยู่แล้วได้
ทั้งนี้ แนวโน้มความนิยมปลูกกาแฟที่ลดน้อยลง กับความนิยมปลูกทุเรียนที่เพิ่มขึ้นในเวียดนาม เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตอุปทานกาแฟโลก ซึ่งได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งทำให้เกิดภัยแล้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อากาศที่ร้อนเกินไปและปริมาณน้ำฝนที่ไม่เพียงพอ ส่งผลให้ต้นกาแฟให้ผลผลิตน้อย ปัจจัยเหล่านี้ประกอบกันทำให้ปัญหาอุปทานไม่เพียงพอรุนแรงยิ่งขึ้น
องค์การกาแฟระหว่างประเทศ (International Coffee Organization) รายงานว่า ในระหว่างเดือนตุลาคม 2022 ถึงกันยายน 2023 เวียดนามผลิตเมล็ดกาแฟได้จำนวนทั้งสิ้น 29.2 ล้านถุง ขนาดน้ำหนักถุงละ 60 กิโลกรัม ลดลง 9.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี
Advertisment
มารูเบนิ (Marubeni) บริษัทการค้ารายใหญ่ของญี่ปุ่นบอกว่า อีกปัจจัยหนึ่งที่ดันราคากาแฟโรบัสต้าขึ้น คือบริษัทใหญ่ ๆ ในยุโรปและสหรัฐอเมริกากำลังเปลี่ยนจากการใช้เมล็ดกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้าระดับไฮเอนด์ ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ มาใช้เมล็ดกาแฟพันธุ์โรบัสต้าที่มีราคาไม่แพงนัก เพื่อตอบสนองต่อต้นทุนการขนส่งและเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น
ปัจจัยเชิงโครงสร้างอย่างเช่นการบริโภคที่เพิ่มขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจีนก็มีส่วนดันราคากาแฟโรบัสต้าขึ้นด้วยเช่นกัน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2022 ถึงกันยายน 2023 การบริโภคกาแฟโรบัสต้าในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมีจำนวนทั้งสิ้น 44.5 ล้านถุง (ขนาด 60 กิโลกรัม) มากกว่า 1 ใน 4 ของการบริโภคทั่วโลก และเพิ่มขึ้น 12% จาก 4 ปีก่อนหน้านั้น ขณะที่การบริโภคทั่วโลกโดยรวมเพิ่มขึ้นเพียง 1% ในช่วงเวลาเดียวกันนี้
ไม่ว่าข่าวใดก็ตามที่ทำให้กาแฟเวียดนามมีราคาที่สูงมากขึ้น ซึ่งทำให้กระทบกับต้นทุนของโรงคั่วกาแฟทั่วประเทศ เราก็ขอเป็นกำลังใจให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตนี้ไปได้ด้วยดี
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : https://www.prachachat.net/world-news/news-1559430
และ https://www.infoquest.co.th/2024/408464